ชีวิตไม่เหลืออะไร แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุด
ในยุคนั้นผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าเรามีคนที่อยู่เคียงข้างมากๆ จะทำให้เรามีอำนาจ และนำผมไปสู่ชนะในทุกเรื่อง ในอดีตนั้นผมเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ใจร้อน ฉุนเฉียว แล้วก็ขี้โมโหมาก แล้วก็ไม่ยอมจำนนต่อใคร
แต่มาถึงจุดหนึ่งที่รัฐบาลประกาศให้มีการปราบมาเฟีย ชีวิตผมก็ไม่เหลืออะไร แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดก็หนีห่างจากผมไป
ในช่วงที่ต้องหนีจากกรุงเทพฯไปอยู่พัทยานั้นไม่เหลืออะไรเลยครับ ถูกอายัดทรัพย์สินหมด ไปแต่ตัว ครอบครัวก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ต้องไปอยู่ที่นั่นถึง 2 ปี พยายามทุกทางเอาชีวิตรอดให้ได้
กว่าจะมารู้จักพระเจ้าได้ต้องใช้เวลาพอสมควร ภรรยาและลูกได้รู้จักพระองค์ก่อนที่กรุงเทพฯ จากนั้นจึงได้พาผู้รับใช้ไปพบผมที่พัทยา และประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้ผมได้รู้จัก ทำให้ผมได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้ากับผู้รับใช้คนนั้น
ชีวิตผมได้รับการเปลี่ยนแปลงเมื่อผมยอมรับพระองค์มากขึ้น มีอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นในชีวิตผม
ฟังคำพยาน "ผศ.ดร.ชาตรี โสภณบรรณารักษ์" ทั้งหมด