คำถาม: เกิดอะไรขึ้นกับทารกและเด็กเล็กเมื่อพวกเขาตาย ฉันจะหาวัยที่สามารถให้คำตอบเรื่องราวได้ในพระคัมภีร์ที่ไหน?
คำตอบ: บ่อยครั้งที่เราอภิปรายกันแบบหลงผิด เรื่องวัยแห่งความรับผิดชอบ คือความจริงที่ว่าเด็กๆ ไม่ว่าอ่อนวัยแค่ไหน ไม่ใช่ “ไร้เดียงสา” ในความหมายของการไม่มีบาป
พระคัมภีร์บอกเราว่าแม้ว่าทารกหรือเด็กไม่ได้กระทำความผิดส่วนตัว ทุกคนรวมทั้งทารกและเด็ก มีความผิดต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะบาปที่สืบทอดมรดกและที่ได้รับเข้ามา
บาปที่ตกทอดมรดกคือสิ่งที่ถูกส่งต่อมาจากพ่อแม่ของเรา
ในบทเพลงสดุดี 51:5 ดาวิดเขียนว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป” ดาวิดจำได้แม้ตามมโนธรรมแห่งความคิดว่า เขาเป็นคนบาป ความจริงน่าเศร้าคือว่าทารกตายบางครั้งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ทารกก็รับผลกระทบจากความบาปของอาดัม เพราะว่าการตายฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณเป็นผลของบาปตั้งต้นจากอดัม
แต่ละคน เด็กหรือผู้ใหญ่ ต้องยืนรับผิดต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่ละคนทำผิดต่อพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ ทางเดียวที่พระเจ้าทรงยุติธรรม และในเวลาเดียวกันประกาศคนชอบธรรม คือคนที่จะได้รับการอภัยโทษโดยความเชื่อในพระคริสต์ พระคริสต์ทรงเป็นทางเดียวเท่านั้น ยอห์น14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ข้าพเจ้าเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางข้าพเจ้า” เปโตรยังระบุใน กิจการ 4:12
“ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” ความรอดเป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล
โมเสสเตือนคนอิสราเอลให้เชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าใน เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-9
เป้าหมายไม่เพียงแต่สำหรับคนรุ่นปัจจุบัน แต่เพื่อลูกหลานของพวกเขา (ข้อ1-2) ที่จะไว้วางใจและเชื่อฟัง ความสำคัญอันดับแรกของพ่อแม่คือการที่ให้พวกลูกๆ เชื่อฟัง
พระวจนะของพระเจ้าจะต้องจารึกไว้ในใจของพวกเขา (ข้อ 5-6) และจากนั้นพวกเขาต้องสอนแก่ลูก ๆ ของตน (ข้อ 7) พวกเขาต้องสอนให้พวกลูกๆ ให้ขยันขันแข็ง สอนลูก ๆให้เก็บพระวจนะของพระเจ้าเป็นไว้ประทับใจเป็นเครื่องเตือนจิตใจ (ข้อ 7-9) หลักการเดียวกันนี้สามารถใช้ได้กับพ่อแม่คริสเตียนทุกวันนี้ ในบทเพลงสดุดี 78:1-8 ผู้แต่งสดุดีเตือนชาวอิสราเอลให้สอนเด็กของตนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อในทางกลับกันพวกเขาจะส่งต่อไปให้กับลูก ๆ ของตน
ถ้าเราพลาดไม่ได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับคนรุ่นต่อไป เรามีความเสี่ยงเหมือนเช่นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับอิสราเอล ผู้วินิจฉัย 2:10 “และชาติพันธุ์รุ่นนั้นทั้งสิ้น ก็ถูกรวบไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา อีกชาติพันธุ์หนึ่งก็เกิดขึ้นตามมา เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้พระราชกิจ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ”
ใน มัทธิว 18:1-4 พระเยซูตรัสว่า เราต้อง มีความเชื่อเหมือนอย่างเด็กๆ พระเยซูทรงใช้วลี “เด็กน้อย ที่เชื่อในฉัน”ใน มัทธิว 18:6 ข้อพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่า เด็กๆ สามารถเชื่อพระเยซู! ถ้าพวกเด็กสามารถเชื่อพระเยซู แล้วเราก็ต้องประกาศแก่พวกเขา
พระเยซูทรง เตือน สาวกของพระองค์ เกี่ยวกับปัญหาสำคัญของเด็กที่เชื่อแล้วเกิดสะดุด
“เป็นเหตุให้สะดุด” หรือ “ขัดเคืองใจ” (สแคน’เดิลลิดโซ ใน ภาษากรีก) หมายถึงการติดกับดัก จับผิด หรือล่อให้ทำบาป
คนจะทำให้เด็กที่เชื่อต้องหลงผิดไปได้อย่างไร บางทีเราอาจปฎิเสธหรือละเลยไม่สนใจเขา นี่จะ ตรงข้ามกับการยินดีต้อนรับเด็ก(มัทธิว 18:5-6) เมื่อเราปฏิเสธหรือละเลยไม่สนใจเด็กที่เชื่อ เราตกอยู่ในอันตรายของการพิพากษา เป็นการผูกโม่หนักแขวนรอบคอเราและจะจมอยู่ในทะเล นอกจากนี้ยังมีไฟนิรันดร์ และไฟนรก (มัทธิว 18:8-9) ในตอนนี้จะจบลงด้วยคำอุปมาเรื่องคนเลี้ยงแกะ ที่ละแกะ 99 ตัวไว้ เพื่อออกไปตามหาแกะ หนึ่งตัวซึ่งได้หลงหายไป พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะในเรื่องและเด็กๆเป็นเหมือนลูกแกะ (มัทธิว 18:14)
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง ความรักของพระเจ้าที่มีต่อแกะของพระองค์ทุกคน และที่พระองค์ ไม่ประสงค์ให้ลูกๆ สักคนต้องพินาศไป คำว่า “พินาศ” (อพอลลูมิใน ภาษากรีก)หมายถึงการ ถูกทำลาย หรือสูญหาย
มาระโก 10:13-14 สาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็ก ๆมาหาพระเยซู เมื่อพระเยซูทรงไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาข้าพเจ้า อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่าเด็ก ๆได้เข้าครองในอาณาจักรของพระเจ้า พวกสาวกก็ต้องทำแบบวิธีที่ได้รับ (มาระโก 10:15)
เด็กๆ ไม่ไขว่คว้าหรือดิ้นรนต่อสู้ ที่จะได้รับอาณาจักรของพระเจ้า แต่เชื่อวางใจพระองค์ว่าจะทรงประทานแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับมันโดยเพียงแต่มีความเชื่อ
พระเยซูทรงประกาศ ว่าใครก็ตามที่ ไม่ได้รับ อาณาจักรของพระเจ้า ต้องเป็นเหมือนเด็กๆ ที่เพียงแต่มีความไว้วางใจและพึ่งพาพระเจ้า ไม่งั้นก็ไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้
เฉพาะผู้ที่เป็นเหมือนเด็กที่มีความไว้วางใจในพระเจ้าจะได้รับความรอด
จดหมาย เอเฟซัส นั้นเขียนถึงธรรมิกชนที่เมือง เอเฟซัส เปาโลอธิบายพวกเขาเรื่อง การทรงไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์และการให้อภัยโทษบาป (เอเฟซัส 1:1,7) ดังนั้นผู้ที่ได้รับจดหมายฉบับนี้เดิมทีนั้นเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ตลอดจนจบจดหมายฉบับนี้ เปาโลกล่าวสอนโดยตรงถึงผู้เชื่อกลุ่มต่างๆกันในเอเฟซัส เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะเดินไปในทางที่มีค่าสมกับที่ได้รับการทรงเรียกมาให้เป็นผู้ชอบธรรม (เอเฟซัส 4:1) เด็กๆจะได้รับคำสั่งให้เชื่อฟังพ่อแม่ของตน
ความจริงที่ว่าเปาโลกล่าวสอนเด็กๆ หมายความว่าเด็กเหล่านี้เป็นธรรมิกชน – ผู้เชื่อในพระคริสต์ เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ถูกส่งไปยังผู้ชอบธรรมที่เมืองเอเฟซัส หากมีเด็กๆ ที่เชื่อในพระคริสต์ที่เอเฟซัสในเวลานั้น แล้วเด็กวันนี้สามารถรับเชื่อได้และควรจะไว้วางใจใน
พระคริสต์
เหตุผลเดียวกันดังกล่าวข้างต้นจะสามารถนำไปใช้กับจดหมายโคโลสีและมาถึงข้อสรุปเดียวกัน –ที่ว่าเด็กๆ ที่ท่านกล่าวสอนต้องเป็นผู้เชื่อ พระธรรมโคโลสีนั้นเขียนถึงธรรมิกชนและพี่น้องที่สัตย์ซื่อในพระคริสต์ที่เมืองโคโลสี เปาโลอธิบายว่าพวกเขา “ เป็นผู้ที่ได้ทรงช่วยให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายมาตั้งไว้ในแผ่นดินของพระคริสต์ ผู้ทรงกระทำการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลาย” (โคโลสี 1:13-14) ในอีกนัยหนึ่ง พวกเขาคือผู้เชื่อในพระคริสต์ ใน โคโลสี 3:20 เด็กๆ ได้รับการกล่าวถึง และถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังพ่อแม่ของเขาในทุกกรณี ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเด็กๆ ผู้เชื่อในพระธรรมโคโลสี
เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเราได้ เพราะว่า เด็กๆสามารถ เป็นผู้เชื่อได้ เราจะต้อง แบ่งปัน พระกิตติคุณ กับพวกเขา
ในจดหมายถึง ทิตัส คุณสมบัติสำหรับ ผู้สูงอายุได้รับการกล่าวสอนไว้ (ทิตัส 1:6-9 ) – การ ตำหนิดังกล่าวข้างต้น สามีของภรรยาคนเดียว และมี “ เทคนา พิสตา” แปลว่า “เด็ก ๆ ผู้เชื่อ”
ว่ายังไง เกี่ยวกับ ทารกและ เด็กเล็กๆ ที่ไม่สามารถตัดสินใจเป็นส่วนตัวได้
วัยที่สามารถให้คำตอบเรื่องราวได้เป็นแนวคิดที่ สอนเหล่าคนที่ เสียชีวิต ก่อนที่จะถึงวัยที่สามารถให้คำตอบเรื่องราวได้สามารถรับความรอดโดยอัตโนมัติ โดยพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า วัยที่สามารถให้คำตอบเรื่องราวได้เป็นความเชื่อที่ว่า พระเจ้าทรงช่วย ทุกคนที่ ตายไป ก่อนที่จะมีโอกาสตัดสินใจต้อนรับ หรือต่อต้าน พระคริสต์
13 ปี เป็นตัวเลขธรรมดาที่สุดในวัยแห่งความรับผิดชอบ ตามประเพณีของชาวยิว ที่เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุ 13 ปี แต่ พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวสนับสนุนว่าอายุ 13 ปีว่าเป็นวัยที่สามารถให้คำตอบได้เสมอ เด็กคนหนึ่งจะมีความแตกต่างกับเด็กคนอื่น ทันทีที่เด็กพ้นวัยแห่งความรับผิดชอบ เขา หรือเธอ มีความสามารถใน การตัดสินใจเชื่อหรือต่อต้าน พระคริสต์
ชาร์ลส์ สเปอร์เจี้ยน กล่าวว่า “เด็กอายุ 5 ปี แท้จริงสามารถได้รับความรอด และบังเกิดใหม่ เหมือนผู้ใหญ่”
วัยแห่งความรับผิดชอบ ขึ้นอยู่กับ พันธสัญญาผูกพันระหว่างชนชาติ อิสราเอลและพระเจ้า ที่ไม่ต้องการให้กำหนดไว้ว่า เด็กผู้ชายคนหนึ่ง จะถูกนับรวม เป็นสมาชิก เต็มรูปแบบในชุมชนพันธสัญญาของความเชื่อ โดยไม่มี การเข้าสุหนัต ซึ่ง จะต้องกระทำตอนอายุแปดวันหลังคลอด (อพยพ 12:48-50 เลวีนิติ 12:3)
คำถามที่เกิดขึ้น “หลักการแห่งพันธสัญญานำไปใช้กับ คริสตจักรได้หรือไม่”
ในวันเพนเทคอส “ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์” (กิจการ2:38-39) คำว่า “เด็กๆ” ดังกล่าวข้างต้น (เทคนอนในภาษากรีก) หมายถึงเด็ก ลูกสาว ลูกชาย
ข้อพระคัมภีร์ระบุว่าการให้อภัยบาปสามารถใช้ได้กับคนหนึ่งและทุกคนรวมทั้งคนในยุคอนาคต (ดูกิจการ 1:8) ไม่ได้สอนเรื่องความรอดของครอบครัว ในกรณีผู้คุมนักโทษฟิลิปปี ได้สอนความรอดแก่คนในครัวเรือน (กิจการ 16:31) เปาโลชี้ให้เห็นว่าเป็นความรอดที่ให้กับสมาชิกของครัวเรือนของผู้คุมนักโทษ เหมือนที่แต่ละคนเชื่อในพระเยซูว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา ในกิจการ 16:32 บันทึกไว้ว่าเปาโล สิลาส ได้ประกาศพระกิตติคุณแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านของผู้คุมและครอบครัวของเขาทั้งสิ้นก็เชื่อ (กิจการ 16:34)
พันธสัญญาใหม่ไม่ได้สอนเรื่องความมั่นคงปลอดภัยหรือความรอด ที่นับจากการอยู่ภายใต้พันธสัญญาผูกพัน โดยตีค่าคุณงามความดีที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคริสเตียน
อีกข้อในพันธสัญญาใหม่ที่บางคนจะใช้เพื่อพยายามจะสอนคนในครัวเรือนเรื่องความรอด
1โครินธ์ 7:14: “เพราะว่าสามีที่ไม่เชื่อในพระคริสต์นั้น ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อในพระคริสต์ ก็ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ทางสามี มิฉะนั้นลูกของท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้เด็กเหล่านั้นก็บริสุทธิ์” ในข้อพระคัมภีร์นี้ บางครั้งการสอนว่าคู่สมรสที่ไม่เชื่อ จะถูกชำระให้บริสุทธิ์หรือรอดได้บนพื้นฐานของ ความเชื่อของคู่สมรสอีกฝ่ายของเขาในพระคริสต์ หรือสอนว่าลูกๆของพวกเขาจะ เป็นคนบริสุทธิ์ ต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งของเขารอดแล้ว
แน่นอน คำตอบที่ชัดเจนคือ “ไม่ใช่ ” เพราะนั่นทั้งหมดไม่สอดคล้องกับ คำสอนในภาพรวมของพระคัมภีร์ ที่กลายเป็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อ ตรวจสอบบริบทของเนื้อหาพระคัมภีร์
ในกรณีนี้ เนื้อหาพระคัมภีร์จะไม่เกี่ยวกับ ความรอด หรือ การชำระล้างบาปเลย ( ถูกทำให้ บริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเจ้า) แต่ มันเกี่ยวกับการจัดการกับ ความสัมพันธ์เรื่องสมรสระหว่างสามีและภรรยา และนี้ และเนื้อหาพระคัมภีร์ต่อไปนี้เกี่ยวโดยตรงกับปัญหาของคริสเตียนที่มีคู่สมรส ที่ไม่เชื่อ เปาโลสอนว่าคริสเตียนไม่ควรจะ “เทียมแอกอย่างไม่เท่าเทียมกัน” (2 โครินธ์ 6:14) กับคนที่ไม่เชื่อ ที่นี่ในเนื้อหาตอนนี้ เขาชี้แจงว่าถ้าผู้เชื่อได้แต่งงานแล้วกับผู้ไม่เชื่อ พวกเขาควรจะยังคงอยู่ในฐานะสมรสแล้ว ตราบเท่าที่ผู้ไม่เชื่อยินยอมให้ทำเช่นนั้นด้วยเหตุที่อนุญาตนี้ คือการแต่งงานที่ผูกพันกันจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ (บริสุทธิ์หรือแยกออกในสายพระเนตรพระเจ้า) บนพื้นฐานความเชื่อของคู่สมรสที่เชื่อ ในทำนองเดียวกันเด็กที่เกิดจากการแต่งงานก็นับว่าถูกกฎหมายในสายพระเนตรพระเจ้าแม้จะมีความจริงที่ว่าคริสเตียนไม่สมควรเทียมแอกกับคนที่หายไป (จาก https://www.gotquestions.org/household-salvation.html )
สมมติชั่วขณะว่าตามประเพณีอายุในวัยวัยที่สามารถให้คำตอบได้นั้นถูกต้อง แล้วจะว่าอย่างไรกับเด็กที่ไม่ได้เป็นของครอบครัวคริสเตียน
ตามกลุ่มมาร์นา หนึ่งในสามของผู้ใหญ่ทุกคน (34%) ในอเมริกันยังคงเป็น “ผู้ที่ไม่ได้ไปโบสถ์” ถ้าเป็นอย่างนั้นเด็กๆ ที่เป็นลูก ๆ ผู้ที่ไม่ได้ไปโบสถ์จะได้ยินพระกิตติคุรไหมได้อย่างไร
เนื้อหาตอนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะยืนยันหัวข้อนี้มากขึ้นกว่าที่อื่น ๆ ใด ๆ คือใน 2 ซามูเอล 12:21-23 จ้อพระคัมภีร์ในบทเหล่านี้ก็คือการผิดประเวณีที่กษัตริย์ดาวิดกระ ทำกับบัทเชบา ผลที่ตามมาคือการตั้งครรภ์ พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะนาธานไปแจ้งเตือนดาวิดให้ทราบว่าเป็นเพราะบาป พระเจ้าจะทรงให้เด็กที่เกิดมาต้องตาย ดาวิดตอบรับด้วยความเสียใจ ร้องคร่ำครวญไว้ทุกข์และอธิษฐานเผื่อเด็ก แต่เมื่อเด็กตายไป ดาวิดสิ้นสุดการ้องคร่ำครวญ คนรับใช้ของดาวิดก็ต้องประหลาดใจที่ได้ยินนี้ ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า “เป็นไฉนฝ่าพระบาททรงกระทำเช่นนี้ ฝ่าพระบาททรงอดพระกระยาหาร และกันแสงเมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าพระบาทก็ทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร”
David’s response was, “While the child was still alive, I fasted and wept; for I said, ‘Who knows, the Lord may be gracious to me, that the child may live.’
พระองค์รับสั่งว่า “เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า ‘ใครจะทราบได้ว่าพระเจ้าจะทรงพระเมตตาเรา โปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่’ แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม ข้าพระองค์จะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่
ข้าพระองค์จะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาข้าพระองค์หามิได้”
การตอบสนอง ของดาวิดก็ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่เชื่อก็ มีความปลอดภัย ใน พระเจ้า.
ดาวิด บอกว่าพระองค์จะไปที่เด็กนั้น แต่ที่พระองค์ไม่สามารถพา เด็กกลับมาหาได้
นอกจากนี้ และ ที่สำคัญคือดาวิด ดูเหมือนจะ สบายใจเรื่องนี้ อีกนัยหนึ่ง ดาวิด ดูเหมือนจะ บอกว่าเขา จะได้เห็น ลูกชาย ของเขา (ในสวรรค์ ) แม้ว่า เขาไม่สามารถ พาเขากลับมา
แม้ว่ามันจะเป็น ไปได้ ว่าพระเจ้าทรง ใช้พระคริสต์ลงมาชำระบาปให้กับผู้ที่ ไม่สามารถเชื่อ พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวโดยเฉพาะว่าพระองค์ทรงทำอย่าง นี้ ดังนั้น นี้เป็น เรื่อง เกี่ยวกับการที่เราไม่ควรจะ ยืนกราน หรือ ดันทุรัง พระเจ้าทรงใช้ ความตาย ของพระเยซูคริสต์แก่ผู้ที่ไม่สามารถเชื่อ ก็ดูเหมือนจะ สอดคล้องกับ ความรักและ พระเมตตาของพระองค์
เป็นตำแหน่งของเรา ว่าพระเจ้าทรงใช้พระคริสต์มาชำระบาปแก่ ทารกและ ผู้ที่มีความ พิการ ทางจิตใจ เพราะ พวกเขาไม่ได้ มีความสามารถ ทางจิตใจที่จะเข้าใจสถานะบาปและ ความต้องการ ของพวกเขาที่ต้องมีพระผู้ช่วยให้รอด แต่อีกครั้งที่เราไม่สามารถ จะ ดันทุรัง
เราแน่ใจสิ่งนี้ : พระเจ้าทรง เป็น ความรัก ทรงบริสุทธิ์ เมตตา ยุติธรรม และ มีพระคุณ
สิ่งที่ทรงกระทำเสมอชอบธรรมและดี พระเจ้าทรงรักเด็กมากกว่าที่เรารัก
จากพันธสัญญาใหม่เราจะเห็นว่ามีเด็กที่รับเชื่อในช่วงเวลาของพระเยซูเช่นเดียวกับคริสตจักรในยุคแรก ๆ ในเมืองเอเฟซัสและโคโลสี ในพันธสัญญาเดิมมีการเน้นย้ำ ถ่ายทอดความจริงในงานของพระเจ้าและกฎหมายสำหรับการสร้างคนรุ่นต่อไปเพื่อว่าพวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ ทิโมธีได้รับคำสอนพระคัมภีร์มาตั้งแต่วัยเด็ก สิ่งที่จำเป็นคือการถ่ายทอดเรื่องราวจากกิตติคุณแห่งความตายและการฟื้นคืนชีพของพระเยซูคริสต์ แบ่งปันพระกิตติคุณกับเด็กๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถมาเชื่อในวัยอ่อนเยาว์
ที่มา: https://www.gotquestions.org
พระเจ้ามีจริง และพระองค์ทรงรักคุณ
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แต่หากคุณได้เริ่มต้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงเปิดเผยพระประสงค์ในชีวิตของคุณให้กับคุณได้รู้ พระองค์ต้องการช่วยคุณจริงๆ และในวันนี้ขอให้คุณได้เข้ามาหาพระองค์
เริ่มรู้จักพระเจ้าได้ที่นี่ FacebookTwitterGoogle PlusLine