คำถาม: ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขา?
คำตอบ: บางคนใช้คำถามนี้เพื่อพยายามจะ “หักล้าง” การดำรงอยู่ของพระเจ้า มีเว็บไซต์ต่อต้านคริสเตียนอันเป็นที่นิยมได้ให้ข้อถกเถียงที่ว่า “ทำไมพระเจ้าไม่ทรงรักษาผู้ที่ถูกตัดแขนหรือขา” : http://www.whywontgodhealamputees.com ถ้าพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้น และถ้าพระเยซูทรงสัญญาว่าจะทรงทำทุกอย่างที่เราทูลขอ (หรือดังที่มีเหตุผล) ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขาเมื่อเราอธิษฐานเผื่อพวกเขา ตัวอย่างเช่น ทำไมพระเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งและเบาหวาน แต่พระองค์ไม่ทรงเคยทำให้ผู้ถูกตัดแขนหรือขาให้มีอวัยวะงอกขึ้นใหม่ได้ ความจริงที่ว่าผู้ถูกตัดแขนหรือขาอยู่แบบคนที่ถูกตัดแขนหรือขาเป็น “หลักฐาน” แก่บางคนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงดำรงอยู่ คำอธิษฐานนั้นไร้ประโยชน์ การรักษาที่รู้จักกันแพร่หลายเป็นเรื่องบังเอิญ และว่าศาสนาเป็นเพียงตำนาน
ข้อถกเถียงดังกล่าวข้างต้นมักถูกนำเสนอโดยวิธีที่มี เหตุผลเหมาะสมและมีสาระ ด้วยการปูพรมด้วยข้อพระคัมภีร์เพื่อทำให้ทั้งหมดดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ไม่ถูกต้องเรื่องพระเจ้า และการตีความหมายข้อพระคัมภีร์ผิดพลาด แนวทางของเหตุผลที่นำมาใช้ในข้อถกเถียงว่า “ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขา” ทำให้มีสมมุติฐานที่ผิดอย่างน้อย 7 ข้อ:
สมมุติฐานข้อที่ 1: พระเจ้าไม่เคยทรงรักษาคนที่ถูกตัดแขนหรือขา
ใครเล่าที่กล่าวว่าในประวัติศาสตร์ของโลกนี้ พระเจ้าไม่เคยทรงสร้างแขนหรือขาใหม่ให้คนพิการแขนขาด้วนเลย ที่กล่าวว่า “ฉันไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าคนพิการแขนขาด้วนสามารถงอกอวัยวะใหม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีคนที่ถูกตัดแขนหรือขาคนใดในประวัติศาสตร์โลกที่เคยรับการรักษาให้หาย” คล้ายกับการพูดว่า “ฉันไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพวกกระต่ายอาศัยอยู่ในลานบ้านของฉัน ดังนั้นจึงไม่มีกระต่าย ตัวใดเคยอาศัยอยู่บนพื้นดินนี้ในประวัติศาสตร์โลก” มันเป็นข้อสรุปที่ไม่สามารถหักล้างได้ง่ายๆ นอกจากนี้เรามีบันทึกประวัติศาสตร์ของพระเยซูที่ทรงรักษาคนโรคเรื้อน บางคนเราอาจนึกว่าได้สูญเสียนิ้วหรือรูปลักษณ์ใบหน้า ในทุกกรณี คนโรคเรื้อนได้รับการรักษากลับคืนสู่สภาพเดิม
มาระโก 1:40-42 “คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงทูลวิงวอนพระองค์ว่า ‘เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้’ พระเยซูทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องคนนั้น ตรัสแก่เขาว่า ‘เราพอใจแล้ว จงหายเถิด’ ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หาย และคนนั้นก็สะอาด”
ลูกา 17:12-14 “เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ยืนอยู่แต่ไกล และส่งเสียงร้องว่า ‘เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด’ เมื่อพระองค์ทรงเห็นแล้วจึงตรัสแก่เขาว่า “จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” เมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด”
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของชายที่มือลีบ
มัทธิว 12:9-13”แล้วพระองค์ได้เสด็จไปจากที่นั่น และเข้าไปในธรรมศาลาของเขา มีคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า ‘การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นต้องห้ามหรือไม่’ เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและ แกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากทีเดียว เหตุฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต’ แล้วพระองค์ตรัสกับคนมือลีบนั้นว่า ‘จงเหยียดมือออกเถิด’ เขาก็เหยียดออก และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง”
การฟื้นฟูสภาพใบหูของมัลคัสที่ถูกตัดขาด
ลูกา 22:50-51 “มีคนหนึ่งในเหล่าสาวกได้ฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการถูกหูข้างขวาขาด แต่พระเยซูตรัสว่า “พอเสียทีเถอะ” แล้วพระองค์ทรงถูกต้องใบหูคนนั้นและให้เขาหาย”
ไม่ได้เอ่ยถึงความจริงที่ว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากตาย
มัทธิว 11:5 “คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา”
(ยอห์น 11:1-44)
ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านี่จะดูยากกว่าการรักษาคนที่ถูกตัดแขนหรือขา
สมมุติฐานข้อที่ 2: ความดีงามและความรักของพระเจ้าเรียกร้องให้พระองค์ทรงรักษาทุกคน
ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความทุกข์ทรมาน และความเจ็บปวด เป็นผลมาจากการที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งการแช่งสาป ถูกสาปแช่งเพราะความบาปของเรา
ปฐมกาล 3:16-19 “พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า ‘เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความ ทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆของทุ่งนา เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”
โรม 8:20-22 “เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ ความดีงามและความรักของพระเจ้าทำให้พระองค์ทรงประทานพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อทรงไถ่เราให้พ้นจากการแช่งสาป
1 ยอห์น 4:9-10 “โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา”
แต่การไถ่สูงสุดของเราจะไม่เป็นที่ประจักษ์จนกว่า ในที่สุดแล้วพระเจ้าได้ทรงสิ้นพระชนม์เพราะความบาปในโลกนี้ จนถึงเวลานั้นเรายังคงต้องตายฝ่ายร่างกาย
ถ้าความรักของพระเจ้าเรียกร้องให้พระองค์ทรงรักษาทุกโรคและความเจ็บป่วย แล้วจะไม่มีใครตาย— เพราะว่า “ความรัก” จะช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ ความหมายของความรักในพระคัมภีร์คือ “การเสียสละเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เรารัก” สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราไม่ใช่ความสมบูรณ์พร้อมทางร่างกายเสมอไป อัครทูตเปาโลได้อธิษฐานขอให้เอา “หนามในเนื้อหนัง” ออกไป แต่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่” เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เปาโลเข้าใจว่า เขาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ทั้งหมด เพื่อจะรับพระคุณที่ยั่งยืนถาวรของพระเจ้า จากประสบการณ์นั้น ท่านเปาโลยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนและเข้าใจพระเมตตาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้ามากขึ้น
2 โครินธ์ 12:7-10 “ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขา ได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น’ เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น”
คำพยานของโจนิ อีเร็คสัน ทาดา เป็นตัวอย่างปัจจุบันของสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ผ่านทางความทุกข์โศกด้านร่างกาย ตอนเป็นวัยรุ่น โจนิได้ทนทุกข์เพราะอุบัติเหตุจากการดำน้ำที่ทำให้ภาวะแขนและขาของเธอเป็นอัมพาต ในหนังสือของเธอชื่อ โจนิ เธอเชื่อมโยงเรื่องที่เธอได้พบผู้ทำการรักษาความเชื่อหลายครั้ง และอย่างหมดท่าเธอได้อธิษฐานทูลขอการรักษาให้หายอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่เคยสำเร็จ ในที่สุด เธอได้ยอมรับสภาพของเธอว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และเธอเขียนว่า “ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ทุกคนสุขสบายหมด พระองค์ทรงใช้ปัญหาของเราเพื่อพระสิริและเพื่อเกิดผลดีแก่เรา” (หน้า 190)
สมมุติฐานข้อที่ 3: พระเจ้ายังทรงสำแดงการอัศจรรย์ในทุกวันนี้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำในอดีต
ในประวัติศาสตร์ช่วงหลายพันปีตลอดในพระคัมภีร์ เราพบว่ามีเพียงเวลาสั้นๆ สี่ช่วงที่เกิดการอัศจรรย์อย่างกว้างขวาง (สมัยของการอพยพ สมัยของศาสดาพยากรณ์เอลียาห์และเอลีชา พระราชกิจของพระเยซูคริสต์และสมัยของอัครสาวก) ในขณะที่การอัศจรรย์หลายอย่างเกิดขึ้นตลอดในพระคัมภีร์ แต่ในเวลาสี่ช่วงเหล่านี้เรื่องการอัศจรรย์เป็นเรื่องธรรมดา
สมัยของอัครสาวกสิ้นสุดลงด้วยพระธรรมวิวรณ์และการตายของยอห์น อีกครั้งที่มันหมายความว่าตอนนี้ แทบไม่ปรากฏการอัศจรรย์ พันธกิจใดซึ่งอ้างว่าได้รับการนำโดยสายพันธุ์ใหม่ของอัครสาวก หรืออ้างว่ามีความสามารถในการรักษาได้นั้นคือคนที่หลอกลวง “ผู้รักษาความเชื่อ” เล่นไปตามอารมณ์และใช้อำนาจให้คำแนะนำเพื่อทำให้เกิด “การรักษา” ที่ไม่สามารถพิสูจน์เป็นจริงได้ นี่ไม่ใช่การบอกว่าพระเจ้าไม่ทรงรักษาประชาชนทุกวันนี้—เราเชื่อว่าพระองค์ทรงกระทำอยู่—- แต่ไม่ใช่มากมายหลายครั้งในแบบที่บางคนกล่าวอ้าง
เรากลับมาพูดเรื่องของ โจนิ อีเร็คสัน ทาดา อีกครั้ง ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขอความช่วยเหลือจากผู้รักษาความเชื่อ ในเรื่องของการอัศจรรย์สมัยใหม่นี้ เธอกล่าวว่า “ความสัมพันธ์กับพระเจ้าในชีวิตและวัฒนธรรมของเรา อยู่บนพื้นฐานพระคำของพระองค์แทนที่จะเป็น” หมายสำคัญและการอัศจรรย์ “” (หน้า 190) พระคุณของพระองค์ก็เพียงพอแล้วและพระคำของพระองค์ก็แน่นอน
สมมุติฐานข้อที่ 4: พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะตรัสว่า “ใช่” กับคำอธิษฐานใด ๆ ที่ทูลขอโดยความเชื่อ
ยอห์น 14:12-14 “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร สิ่งใดที่ท่านขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น”
บางคนได้พยายามที่จะตีความพระธรรมนี้ว่าพระเยซูทรงเห็นด้วยกับสิ่งใดที่เราทูลขอ แต่นี่เป็นการเข้าใจผิดพระประสงค์ของพระเยซู ประการแรก โปรดสังเกตว่าพระเยซูกำลังตรัสกับอัครสาวกของพระองค์ และ พระสัญญานั้นก็เพื่อพวกเขา หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เหล่าอัครสาวกได้รับฤทธิ์อํานาจเพื่อทําการอัศจรรย์ขณะที่พวกเขาเผยแพร่พระกิตติคุณ
กิจการ 5:12 “มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่าง ซึ่งอัครทูตได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน พวกสาวกอยู่พร้อมกันในเฉลียงของซาโลมอน”
ประการที่สอง พระเยซูทรงใช้วลีว่า “ในนามของเรา” สองครั้ง นี่แสดงให้เห็นพื้นฐานของคำอธิษฐานของอัครสาวก แต่ก็ยังอนุมานได้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาอธิษฐานทูลขอควรจะสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเยซู ตัวอย่าง การอธิษฐานแบบเห็นแก่ตัว หรือแบบที่มีแรงกระตุ้นโดยความโลภ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการอธิษฐานในพระนามของพระเยซู
เราอธิษฐานด้วยความเชื่อ แต่ความเชื่อหมายถึงเราวางใจในพระเจ้า เราเชื่อวางใจว่าพระองค์จะทรงทำในสิ่งที่ดีที่สุดและรู้ว่าอะไรดีที่สุด เมื่อเราพิจารณาคำสอนทั้งหมดของพระคัมภีร์เรื่องการอธิษฐาน (ไม่ใช่แค่พระสัญญาที่ทรงมอบแก่อัครสาวกเท่านั้น) เราเรียนรู้ว่าพระเจ้าอาจทรงใช้พระราชอำนาจของพระองค์เพื่อตอบคำอธิษฐานของเรา หรือพระองค์อาจทรงทำให้เราประหลาดใจโดยทรงกระทำการที่แตกต่างไป โดยพระปัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
โรม 8:28 “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
สมมุติฐานข้อที่ 5: การรักษาในอนาคตของพระเจ้า (ในการคืนพระชนม์) ไม่สามารถชดเชยความทุกข์ลำบากฝ่ายโลกได้
ความจริงคือ: โรม 8:18 “เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย”
เมื่อผู้เชื่อสูญเสียแขนหรือขาไป เขาก็มีพระสัญญาของพระเจ้าว่าเขาจะมีอวัยวะครบถ้วนในอนาคต
ฮีบรู11:4 “เพราะอาแบลมีความเชื่อ จึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่า ของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า ซึ่งทำให้ท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าก็ได้ทรงยืนยันโดยการทรงรับของถวายของท่าน แม้ว่าอาแบลตายไปแล้วก็จริง แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่”
มัทธิว 18:8 “ถ้ามือหรือเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตนิรันดร์ด้วยมือและเท้าด้วน หรือพิการยังดีกว่ามีสองมือสองเท้า และต้องถูกทิ้งในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์”
คำตรัสของพระองค์ยืนยันถึงความไม่สำคัญเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเราในโลกนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพนิรันดร์ของเรา การประสบชีวิตในสภาพสาหัส (และจากนั้นจะได้รับครบถ้วน) นั้นดีกว่าที่จะเข้าสู่นรก เพียบเลย (ทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์)
สมมุติฐานข้อที่ 6: แผนการของพระเจ้าทำให้มนุษย์ยอมรับและปฏิบัติตาม
การต่อสู้อย่างหนึ่งที่ว่า “ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขา” คือว่าพระเจ้าไม่ทรง “ยุติธรรม” ต่อผู้ถูกตัดแขนหรือขา อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมทั้งสิ้น
เพลงสดุดี 11:7 “เพราะพระเจ้าทรงชอบธรรม จึงทรงรักกิจการที่ชอบธรรม คนเที่ยงตรงจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้าได้”
2 เธสะโลนิกา 1:5-6 “เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งจะพิสูจน์ว่าท่านเป็นผู้สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า เหตุที่เห็นแก่แผ่นดินนั้นท่านทั้งหลายจึงกำลังทนทุกข์อยู่ เพราะว่าพระเจ้าทรงเห็นว่า เป็นการยุติธรรมแล้วที่จะทรงเอาความยากลำบาก ไปสนอง คนเหล่านั้นที่ก่อความยากลำบากให้กับท่านทั้งหลาย”
โดยอำนาจสูงสุดของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงตอบผู้ใด
โรม 9:20-21 “แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า ‘ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้’ ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิที่จะเอาดินก้อนเดียวกัน มาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ”
ผู้เชื่อมีความเชื่อในความดีงามของพระเจ้า ถึงแม้เมื่อสถานการณ์ทำให้ยุ่งยากและเหตุผลก็ดูเหมือนจะแกว่งไปแกว่งมา
สมมุติฐานข้อที่ 7: พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่จริง
นี่คือสมมุติฐานที่สำคัญและซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นพื้นฐานของข้อถกเถียงทั้งหมดที่ว่า “ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขา” บรรดาคนที่ชนะเลิศข้อถกเถียง”ทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงรักษาคนที่ถูกตัดแขนหรือขา” เริ่มต้นด้วยสมมติฐานที่ว่าพระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่ และแล้วก็จัดการค้ำจุนความคิดของพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับพวกเขา “ศาสนาคือตำนาน” เป็นข้อสรุปที่เรียบร้อยแล้ว ถูกนำมาเสนอเป็นการลบล้างอย่างมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นพื้นฐานข้อถกเถียงนั้น ในแง่หนึ่ง คำถามที่ว่าทำไมพระเจ้าไม่ทรงรักษาคนพิการเป็นคำถามที่เจ้าเล่ห์ เปรียบได้กับ “พระเจ้าทรงสามารถทำให้โขดหินใหญ่เกินไปสำหรับพระองค์ที่จะยกขึ้นได้หรือ” และถูกออกแบบเพื่อไม่แสวงหาความจริง แต่เป็นการทำลายความเชื่อ ในแง่อื่น ก็สามารถเป็นคำถามที่ถูกต้องโดยคำตอบตามพระคัมภีร์ โดยย่อ คำตอบนั้นจะเป็นอะไรอย่างนี้ “พระเจ้าทรงสามารถรักษาผู้ถูกตัดแขนหรือขาและ จะทรงรักษาทุกคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์รับเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะเกิดการรักษาให้หาย ไม่ใช่เป็นผลมาจากความต้องการของเราตอนนี้ แต่ในเวลาของพระเจ้า อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้ก็ได้ แต่เกิดในสวรรค์แน่นอน จนกระทั่งถึงเวลานั้น เราเดินตามความเชื่อ วางใจในพระเจ้าผู้ทรงไถ่เราไว้โดยพระคริสต์และทรงสัญญาจะฟื้นกายขึ้นใหม่ “
พยานฝ่ายบุคคล:
บุตรชายคนแรกของเราเกิดมาโดยกระดูกที่ขาล่างหายไป และมีเพียงนิ้วเท้าสองนิ้วเท่า นั้นที่เท้าของเขา สองวันหลังจากครบรอบวันเกิดปีแรก ขาทั้งสองข้างของเขาถูกตัดขาด ขณะนี้เรากำลังพิจารณารับเด็กจากประเทศจีนมาเป็นบุตรบุญธรรม เด็กที่จะต้องได้รับการผ่าตัดแบบเดียวกับเขาเพราะมีปัญหาแบบเดียวกัน ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเลือกให้ฉันเป็นแม่พิเศษมากของเด็กพิเศษเหล่านี้ และฉันก็ไม่คิดอะไรเลยจนกระทั่งได้เห็นหัวข้อว่าเหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักษาคนที่ถูกตัดแขนหรือขาออก ที่ผู้คนใช้สิ่งนี้เป็นเหตุผลให้สงสัยการดำรงอยู่ของพระเจ้า ในฐานะแม่ของเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีเท้า และแม่ที่มีศักยภาพรับเด็กอีกคนหนึ่งที่บางส่วนของแขนหรือขาล่างขาดหายไปด้วย ฉันไม่เคยเห็นมันในแง่นั้น แต่ฉันได้พบว่าพระองค์ทรงเรียกฉันให้เป็นแม่พิเศษเพื่อเป็นวิธีที่สอนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพระพรของพระเจ้า พระองค์ยังทรงเรียกฉันให้โอกาสแก่เด็กๆ เหล่านี้ ได้เข้าร่วมกับครอบครัวคริสเตียน ที่จะสอนให้พวกเขารักพระเจ้าในแบบพิเศษของพวกเขา และให้เข้าใจว่าเราสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ทุกสิ่งโดยทางพระคริสต์ บางคนอาจพบว่ามันเป็นหินสะดุด เราพบว่ามันเป็นประสบการณ์และความท้าทายที่น่าเรียนรู้ นอกจากนี้เรายังขอบคุณพระองค์ที่ทรงให้ความรู้แก่บางคนในการทำศัลยกรรมที่สำคัญและทำการใส่อวัยวะเทียมที่จำเป็น เพื่อให้บุตรของฉันและหวังว่าลูกชายคนต่อไปของเราจะสามารถเดินได้ วิ่งได้ กระโดดได้ และมีชีวิตเพื่อเชิดชูพระเกียรติพระเจ้าในทุกสิ่ง
โรม 8:28 “เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
ที่มา: https://www.gotquestions.org
แชร์ : FacebookTwitterGoogle PlusLine
สามารถพูดคุยกับเพิ่มเติมเราได้ที่ : https://www.facebook.com/knowgod.in.th/
พระเจ้ามีจริง และพระองค์ทรงรักคุณ
มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แต่หากคุณได้เริ่มต้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงเปิดเผยพระประสงค์ในชีวิตของคุณให้กับคุณได้รู้ พระองค์ต้องการช่วยคุณจริงๆ และในวันนี้ขอให้คุณได้เข้ามาหาพระองค์